การรักษา amyloidosis มุ่งลดการสร้างและการสะสมของโปรตีนที่เรียกว่า amyloid รวมทั้งจัดการความเสียหายของอวัยวะที่เกิดขึ้น การรักษาจะแตกต่างกันตามชนิดของ amyloidosis, ความรุนแรงของอาการ และอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยาเพื่อยับยั้งแหล่งการผลิตโปรตีน การรักษาสนับสนุนสำหรับหัวใจหรือไต และการติดตามระยะยาวจากทีมผู้เชี่ยวชาญ ในบทความนี้จะอธิบายประเภทการรักษา แนวทางการวินิจฉัย การดูแลระยะยาว และสิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อค้นหาผู้ให้บริการเฉพาะทางหรือ local services ในพื้นที่ของคุณ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์.
การรักษาพื้นฐานของ amyloidosis คือการหยุดหรือชะลอการสร้างโปรตีน amyloid จากแหล่งที่มา เช่น ใน AL amyloidosis (เกิดจากแอนติบอดีที่ผลิตโดยพลาสมาเซลล์ผิดปกติ) การรักษามุ่งทำลายเซลล์ที่ผลิตสายโปรตีนผิดปกติเหล่านั้น ในขณะที่ใน ATTR amyloidosis (เกี่ยวข้องกับโปรตีน transthyretin) แนวทางจะเน้นการลดการผลิต transthyretin หรือการทำให้โปรตีนคงตัวเพื่อลดการรวมตัวเป็น amyloid นอกจากนี้การรักษาสนับสนุนเพื่อบรรเทาอาการและปกป้องการทำงานของอวัยวะก็มีบทบาทสำคัญ เช่น ยาควบคุมอาการหัวใจ ไต หรือระบบประสาท
การวินิจฉัยและการประเมินก่อนการรักษา
การวินิจฉัยที่แม่นยำเป็นสิ่งจำเป็นก่อนเริ่มการรักษา โดยทั่วไปจะใช้การตรวจชิ้นเนื้อ (biopsy) ของเนื้อเยื่อที่สงสัยและย้อมด้วย Congo red เพื่อดูการแสดงผลแบบ apple-green birefringence ภายใต้แสงโพลาไรซ์ การกำหนดชนิดของโปรตีน amyloid มักใช้เทคนิคเช่น immunohistochemistry หรือ mass spectrometry เพื่อแยกชนิด AL, AA, ATTR หรือชนิดอื่น ๆ การประเมินการทำงานของอวัยวะรวมถึงการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ อิเล็กโทรการ์ดิโอกราฟีอัลตราซาวนด์หัวใจ การตรวจเลือดและปัสสาวะเพื่อดูการทำงานของไต และการประเมินระบบประสาท จะช่วยให้ทีมแพทย์วางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ทางเลือกการรักษาตามชนิดของ amyloidosis
การรักษาจะแตกต่างกันตามชนิดหลัก:
-
AL amyloidosis: ใช้ยาเคมีบำบัดแบบมุ่งเป้าเพื่อลดปริมาณพลาสมาเซลล์ที่ผลิตโปรตีนผิดปกติ ตัวอย่างยาที่ใช้รวมถึงกลุ่มที่ใช้บอร์เตโซมิ๊บ ร่วมกับไซโคลฟอสฟาไมด์และเดกซาเมทาโซน ในผู้ป่วยที่เหมาะสม การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดออโตโลกัส (autologous stem cell transplant) อาจพิจารณา
-
ATTR amyloidosis: มียาที่ช่วยคงสภาพโปรตีน transthyretin (เช่น ทาฟามิดิส) และยาที่ลดการสร้าง transthyretin ผ่านเทคโนโลยี RNA interference หรือ antisense oligonucleotides (เช่น พาติซิแรนหรืออิโนเทอร์เซน) ทั้งนี้การรักษาจะแตกต่างตามว่าเป็นชนิดพันธุกรรมหรือชนิดที่เกิดขึ้นตามอายุ
-
AA amyloidosis: เน้นการควบคุมสาเหตุการอักเสบเรื้อรังที่เป็นแหล่งการสร้าง serum amyloid A เช่น รักษาโรคข้ออักเสบเรื้อรังหรือการติดเชื้อที่ยืดเยื้อ
-
Amyloidosis ท้องถิ่น: บางกรณีสามารถรักษาด้วยการผ่าตัดเอาก้อน amyloid ออกได้
นอกจากการรักษเฉพาะทางแล้ว การจัดการภาวะแทรกซ้อน เช่น การใช้ยาขับน้ำสำหรับอาการหัวใจล้มเหลวหรือการฟอกเลือดเมื่อไตล้มเหลว เป็นส่วนสำคัญของการรักษา
การดูแลและการติดตามผลในระยะยาว
ผู้ป่วย amyloidosis จำเป็นต้องได้รับการติดตามอย่างสม่ำเสมอโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ รวมถึงแพทย์โรคหัวใจ ไต ผู้เชี่ยวชาญทางโลหิตวิทยา และนักประสาทวิทยา การติดตามอาจรวมถึงการตรวจเลือดเพื่อประเมินภาระโปรตีน การทำ echocardiography เพื่อติดตามการทำงานของหัวใจ และการประเมินการทำงานของไตเป็นระยะ การปรับแผนการรักษาอาจเกิดขึ้นตามการตอบสนองต่อการรักษาและการเกิดผลข้างเคียง นอกจากนี้ผู้ป่วยควรได้รับการให้ความรู้เกี่ยวกับอาการเตือนและวิธีการรักษาตามอาการที่บ้าน
การค้นหาการรักษาเฉพาะทางและการเข้าร่วมการทดลองวิจัย
ผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลเชิงเฉพาะทางควรพิจารณาศูนย์ที่มีความชำนาญด้าน amyloidosis หรือ local services ที่มีทีมผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน ศูนย์เหล่านี้มักมีการเข้าถึงการวินิจฉัยขั้นสูงและการรักษาใหม่ ๆ รวมถึงโอกาสในการเข้าร่วมการทดลองทางคลินิกซึ่งอาจเสนอทางเลือกการรักษาที่กำลังพัฒนา การเข้าร่วมการทดลองควรพิจารณาอย่างรอบคอบโดยดูจากประโยชน์ ความเสี่ยง และเกณฑ์การคัดเลือก
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกนำไปใช้เป็นคำแนะนำทางการแพทย์ กรุณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์สำหรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล.
การดูแลผู้ป่วย amyloidosis ต้องอาศัยการวินิจฉัยที่แม่นยำ การเลือกการรักษาที่เหมาะสมตามชนิดและระดับความรุนแรง และการติดตามระยะยาวโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ แนวทางการรักษามีทั้งการใช้ยาเพื่อลดการสร้างโปรตีน amyloid การดูแลสนับสนุนอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ และการพิจารณาการรักษาเชิงรุกรวมถึงการเข้าร่วมการทดลองวิจัย ความร่วมมือระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญในการปรับแผนการดูแลให้เหมาะสมกับสภาพแต่ละบุคคล